บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ฟักทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita
moschata Duchesne จัดอยู่ในวงศ์แตง
(CUCURBITACEAE)
ฟักทองแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล ตระกูลแรกก็คือ
ตระกูลฟักทองอเมริกัน (Pumpkin)
ผลใหญ่ เนื้อยุ่ย และตระกูลสควอช (Squash) ซึ่งได้แก่ฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น
โดยฟักทองไทยนั้น ผิวของผลขณะยังอ่อนจะเป็นสีเขียว
เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสลับเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระเล็กน้อย
เปลือกจะแข็ง เนื้อด้านในเป็นสีเหลือง พร้อมด้วยเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่
ฟักทองในประเทศไทย
เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม
มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง"
มีสรรพคุณทางมากมาย
- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส
แคลเซียม วิตามินซี แป้ง
และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน"
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง
สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน
ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า
และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
- เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย
หากทานฟักทองทั้งเปลือกจะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย
ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต
บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ
"ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก
และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน
นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง
จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล
แถมสายตายังดูปิ้งอีกต่างหาก
|
4
|
ฟักทอง
แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มาก
แต่การรับประทานอย่างไม่เหมาะสมก็อาจเกิดโทษได้เช่นกัน
เนื่องจากฟักทองนั้นมีฤทธิ์อุ่น ไม่เหมาะกับผู้ที่กระเพาะร้อน เช่น
ผู้ที่มักมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก มีแผลในช่องปาก
เหงือกบวมเป็นประจำ เป็นต้น
ซึ่งผู้ที่มีอาการเหล่านี้ไม่ควรรับประทานฟักทองในปริมาณที่มากเกินไปหรือบ่อยเกินไป
แม้กระทั่งในคนปกติเองก็ตาม ก็ไม่ควรรับประทานอย่างไร้สติ
เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้
สรรพคุณทางยาของฟักทอง
- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด
ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ
ถอนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ
ปวดอักเสบ
ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ
-
ฟักทองมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและความแก่ชรา
-
ช่วยฟื้นบำรุงสุขภาพผิวให้เปล่งปลั่งสดใสและช่วยปกป้องผิวไม่ให้เหี่ยวย่น
-
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา และช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย
-
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
-
น้ำมันจากเมล็ดฟักทองมีส่วนช่วยบำรุงประสาท
-
เมล็ดฟักทองช่วยทำให้อารมณ์ดี
เพราะมีสารที่ช่วยในการสร้าง Serotonin
ซึ่งมีผลต่ออารมณ์มีฤทธิ์ในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
-
เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรืออยากลดความอ้วน
เพราะมีไขมันน้อย กากใยสูง
-
ฟักทองมีกรดโปรไบโอนิค
ซึ่งมีส่วนทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง มีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง
มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ
-
ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณข้อเข่า
บั้นเอว
-
มีส่วนช่วยป้องกันโรคผิวหนัง
-
เปลือกฟักทองมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย
ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
-
ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกายหรือหลังจากร่างกายทำงานอย่างหนัก
และทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
-
รากฟักทองนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ
-
ฟักทองจัดว่ามีกากใยอาหารสูง
ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับถ่าย
-
ฟักทองมีฤทธิ์อุ่นซึ่งจะช่วยย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
-
ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
-
สรรพคุณของฟักทอง
มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
-
สรรพคุณฟักทอง ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่ว
-
ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากขยายใหญ่มากขึ้น
-
ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
-
ช่วยขับพยาธิตัวตืด
โดยนำเมล็ดฟักทองประมาณ 50
กรัม นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำตาล นม และเติมน้ำลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร
แล้วนำมาแบ่งรับประทานเป็น 3
ครั้ง ทุก ๆ 2
ชั่วโมง
-
ช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง
-
รากฟักทองเมื่อนำมาต้มดื่มจะช่วยถอนพิษจากแมลงกัดต่อย
ถอนพิษของฝิ่นได้
-
เยื่อกลางของผลฟักทอง
สามารถนำมาใช้พอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวดและอักเสบได้
-
ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง
อย่างน้ำฟักทองคั้นสด พายฟักทอง
-
นำมาใช้ในการประกอบอาหารได้ย่างหลากหลาย
เช่น ซุปฟักทอง แกง กินกับน้ำพริก เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของฝักทอง
ต่อ 100
กรัม
-
พลังงาน 26 กิโลแคลอรีประโยชน์ของฟักทอง
-
คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัม
-
น้ำตาล 2.76 กรัม
-
เส้นใย 0.5 กรัม
-
ไขมัน 0.1 กรัม
-
โปรตีน 1 กรัม
-
วิตามินเอ 476 ไมโครกรัม 53%
-
เบตาแคโรทีน 3,100
ไมโครกรัม 29%
-
ลูทีนและซีแซนทีน 1,500
ไมโครกรัม
-
วิตามินบี 1 0.05 มิลลิกรัม 4%
-
วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9%
-
วิตามินบี 3 0.6 มิลลิกรัม 4%
-
วิตามินบี 5 0.298 มิลลิกรัม 6%
-
วิตามินบี 6
0.061
มิลลิกรัม 5%
-
วิตามินซี 9 มิลลิกรัม 11%-
ฟักทองวิตามินบี 9 16 ไมโครกรัม 4%
-
วิตามินอี 0.44 มิลลิกรัม 3%
-
วิตามินเค 1.1 ไมโครกรัม 1%
-
ธาตุแคลเซียม 21 มิลลิกรัม 2%
-
ธาตุเหล็ก 0.8 มิลลิกรัม 6%
-
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
-
ธาตุแมงกานีส 0.125 มิลลิกรัม 6%
-
ธาตุฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม 6%
-
ธาตุโพแทสเซียม 340 มิลลิกรัม 7%
-
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
-
ธาตุสังกะสี 0.32 มิลลิกรัม 3%
หมายเหตุ
%
ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
ข้าวเกรียบ
ข้าวเกรียบ หมายถึง อาหารว่างชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก อาจมีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ หรือผัก หรือผลไม้ เช่น ปลากุ้ง ฟักทอง เผือก งาดำ งาขาว บดผสมให้เข้ากับเครื่องปรุงรส แล้วทำให้เป็นรูปทรงตามต้องการ นึ่งให้สุก ตัดให้เป็นแผ่นบางๆ นำไปทำให้แห้งด้วยแสงแดดหรือวิธีอื่นที่เหมาะสมอาจทอดก่อนบรรจุหรือไม่ก็ได้
1. ข้าวเกรียบพร้อมบริโภค
2. ข้าวเกรียบดิบ
1 ลักษณะภายนอก
ลักษณะทั่วไปของข้าวเกรียบ
1.
ข้าวเกรียบพร้อมบริโภค
ต้องเป็นแผ่นบาง กรอบ มีการพองตัวดีและสม่ำเสมอ
ไม่มีชิ้นที่ไหม้เกรียมอาจแตกหักได้เล็กน้อย
2.
ข้าวเกรียบดิบ
ต้องเป็นแผ่นบาง กรอบ อาจแตกหักได้เล็กน้อย
2. สี ต้องมีสีที่ดีตามธรรมชาติของส่วนประกอบที่ใช้และสม่ำเสมอ
3. กลิ่นรส
ต้องมีกลิ่นรสเฉพาะของส่วนประกอบที่ใช้
และปราศจากกลิ่นอื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับ
กลิ่นหืนเมื่อตรวจสอบโดยวิธีให้คะแนนตามข้อ 9.1 แล้ว
ต้องได้คะแนนเฉลี่ยของแต่ละลักษณะจากผู้ตรวจสอบทุกคนไม่น้อยกว่า 3 คะแนน และไม่มีลักษณะใดได้ 1 คะแนน
จากผู้ตรวจสอบคนใดคนหนึ่ง
4. สิ่งแปลกปลอม
ต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ส่วนประกอบที่ใช้
เช่น เส้นผม ดิน ทราย กรวด ชิ้นส่วนหรือสิ่งปฏิกูลจากสัตว์ เช่น แมลง หนู นก
5. ความชื้น
1. ข้าวเกรียบพร้อมบริโภค ต้องไม่เกินร้อยละ 4.0 โดยน้ำหนัก
2.
ข้าวเกรียบดิบ ต้องไม่เกินร้อยละ 12 โดยน้ำหนัก
6. ค่าเพอร์ออกไซด์ ( Peroxide
value) (เฉพาะข้าวเกรียบพร้อมบริโภค)
ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมสมมูลเพอร์ออกไซด์ออกซิเจนต่อกิโลกรัม
7. วัตถุเจือปนอาหาร
1. ห้ามใช้วัตถุกันเสียและสีผสมอาหารทุกชนิด
2. บิวทิเลเตดไฮดรอกซีอะนิโซล (Butylated hydroxyanisole)
และบิวทิเลเตดไฮดรอกซีโทลูอีน
(Butylated Hydroxytoluene)
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันต้องไม่เกิน
50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
8. จุลินทรีย์
1. จำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด ต้องไม่เกิน 1 × 104 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม
2.
เอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli)
โดยวิธีเอ็มพีเอ็น
(MPN)
ต้องน้อยกว่า 3 ต่อตัวอย่าง 1กรัม
3.
สตาฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)
-
ข้าวเกรียบพร้อมบริโภค ต้องไม่พบในตัวอย่าง 0.1 กรัม
-
ข้าวเกรียบดิบ ต้องน้อยกว่า 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม
4.
ราต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1
กรัม
9. สุขลักษณะ
- สุขลักษณะในการทำข้าวเกรียบ
ให้เป็นไปตามคำแนะนำตาม GMP
10. การบรรจุ
1. ให้บรรจุข้าวเกรียบในภาชนะบรรจุที่สะอาด แห้ง
ผนึกได้เรียบร้อย สามารถป้องกันความชื้นและการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกภายนอกได้
2.
น้ำหนักสุทธิของข้าวเกรียบในแต่ละภาชนะบรรจุต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ฉลาก
11. เครื่องหมายและฉลาก
1. ที่ภาชนะบรรจุข้าวเกรียบทุกหน่วย
อย่างน้อยต้องมีเลข อักษร หรือเครื่องหมายแจ้งรายละเอียดต่อไปนี้ให้เห็นได้ง่าย
ชัดเจน
(1) ชื่อเรียกผลิตภัณฑ์ เช่น ข้าวเกรียบกุ้ง
ข้าวเกรียบปลา ข้าวเกรียบฟักทอง ข้าวเกรียบเผือก
(2) น้ำหนักสุทธิ
(3) วัน เดือน ปีที่ทำ และวัน เดือน ปีที่หมดอายุ
หรือข้อความว่า "ควรบริโภคก่อน (วัน เดือน ปี) "
(4) ชื่อผู้ทำ หรือสถานที่ทำ พร้อมสถานที่ตั้ง
หรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
ในกรณีที่ใช้ภาษาต่างประเทศ
ต้องมีความหมายตรงกับภาษาไทยที่กำหนดไว้ข้างต้น

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น